top of page

ยาวิเศษยอดยุทธดึกดำบรรพ์แห่งศึกมหาไสยเวทพม่า

#เรื่องเล่าเคล้าตำนานกับยาวิเศษยอดยุทธดึกดำบรรพ์แห่งศึกมหาไสยเวทพม่า

#มังกรหยกภาคกำเนิดคัมภีร์เก้าอิมและคัมภีร์มารนพเก้า

(ตอนที่.1)


- - - - - - - - -


“ความทรงจำอันเลือนลาง จากวีรกรรมกลายเป็นเรื่องเล่า จากเรื่องเล่ากลายเป็นตำนาน จากตำนานกลายเป็นเทพนิยาย จากเทพนิยายแล้วก็ค่อยๆเลือนหายตามกาลเวลา จนแทบไม่เหลือผู้ที่จะจดจำ แต่ตำนานนั้นก็ยังคงเป็นตำนานรอวันขับขานความในออกมาสักวันหนึ่ง”


ณ ช่วงเวลาต่อแต่นี้ไปจะนำท่านเข้าสู่ นวนิยายศึกเทพยุทธ ของสองมหาบุรุษผู้เป็นอมตะ ผู้เป็นต้นสายวิชาไสยเวทของพม่าทั้งปวง นับแต่โบราณนานมาในยุคบรรพกาล ได้มีสองมหาบุรุษผู้รอบรู้แตกฉานในสัพพะเวทย์สัพพะวิชาทั้งปวง ส่วนผู้เป็นต้นสายปลายเหตุของสัพพะวิชานั้นไม่ทราบแน่ชัดว่ามาแต่ใด บ้างก็เล่าว่ามีเทพยดาองค์หนึ่ง ได้หยิบยื่นคัมภีร์วิเศษมามอบให้ บ้างก็เราว่าเป็นสัพพะวิชาที่สั่งสมมาแต่บรรพกาลยุคศาสนาพุทธันดรเก่าก่อนที่ฝากไว้ในธรรมชาติ รอผู้ที่มีบุญญาวาสนามาค้นพบ


เรื่องเล่าต่างกันต่างพื้นที่ต่างพื้นเพเล่ากันไปต่างๆนานากันจนอาจจะสับสนไปบ้างคล้ายกันไปบ้าง ยัดเยียดใส่ในตำนานอื่นๆบ้าง แต่ทุกตำนานย่อมทิ้งร่องรอยให้ติดตาม แต่จะเป็นเช่นไรมาถึงตรงนี้จะขอเล่าถึงเรื่องเล่าปรัมปราเท่าที่พอจะจำได้ดังนี้


เริ่มต้นที่พระภิกษุชราท่านหนึ่ง ที่ได้จาริกธุดงค์บำเพ็ญอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร จนมาวันนึงเกิดอาการอาพาธไม่สบายจึงคิดจะกลับวัดเพื่อไปรักษาตัวครั้นในระหว่างที่จะเดินทางกลับวัด ก็ได้เดินทางผ่านมาได้พบกับนักสิทธิ์วิทยาธรท่านหนึ่ง จึงได้พบประพูดคุยกันพอได้ทราบถึงข่าวเรื่องราวความเป็นมาของกันและกัน นักสิทธิ์วิทยาธรท่านนั้นจึงได้ขอร้องพระชรารูปนั้นว่าเขาได้บำเพ็ญมาจวบจนถึงขั้นใกล้จะสำเร็จแล้ว ขาดแต่เพียงว่าจะหาใครผู้ที่พอจะไว้ใจได้เพื่อช่วยเหลือในขั้นตอนสำคัญ จึงได้ขอร้องให้พระภิกษุชรารูปนั้นเพื่อที่จะได้ทำการช่วยเหลือตน พระภิกษุชรารูปนั้นด้วยความที่ว่าเป็นพระผู้มีเมตตา จึงไม่อาจขัดได้แม้แต่ร่างกายยังอาพาธเจ็บป่วยอยู่ แต่ก็พอทนได้จึงตัดสินใจช่วยนักสิทธิ์วิทยาธรผู้นั้น


นักสิทธิ์วิทยาธรจึงได้บอกขั้นตอนวิธีการว่าเขาจะเนรมิตของไฟขึ้นมากองหนึ่ง แล้วเค้าจะกระโดดเข้าไปในกองไฟนั้นให้ท่านเอาแผ่นโลหะมหาอักขระ ทั้งสี่แผ่นนี้ถือไว้ในมือ แล้วทุกเที่ยงคืนของแต่ละวันให้ท่านโยนแผ่นโลหะนี้เข้าไปในกองไฟทีละแผ่น แผ่นละวันแม้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้ท่านนั้นอดทนอย่าได้หวั่นใหว แผ่นมหาอักขระนี้จะคุ้มครองท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง ข้าขอร้องท่านแค่นี้จะได้ไหมครับ


พระภิกษุชรารูปนั้นก็ตกปากรับคำ และทันใดนั้นนักสิทธิ์วิทยาธร ท่านนั้นก็เนรมิตของไฟขึ้นมา มีเปลวไฟสีเขียวและได้กระโดดเข้าไปในกองไฟนั้น พระภิกษุชรารอจนถึงเที่ยงคืนเตรียมกำลังที่จะโยนแผ่นมหาอักขระเข้าไปแผ่นที่หนึ่ง ได้บังเกิดมีภูตผีปีศาจมากมายเข้ามาในบริเวณนั้นและได้ทำการขอร้องว่าทรัพย์สมบัติในเมืองผีนั้นมีมาก ท่านจะเอาเท่าใดก็ได้แลกกับการที่ท่านขอให้ท่านมอบแผ่นมหาอักขระนั้นให้แก่พวกข้าเถอะ พระภิกษุชรารูปนั้นก็ไม่ได้กระทำตามพวกภูตผีปีศาจต่างๆขอร้อง เพราะได้รับปากนักสิทธิ์วิทยาธรไว้แล้ว พวกภูตรผีปีศาจต่างโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ขู่อาฆาตมาตรร้ายต่างๆนานๆ แต่ทว่าก็เข้าใกล้พระภิกษุชราไม่ได้ เพราะด้วยอำนาจของแผ่นมหาอักขระ พอได้เวลาเที่ยงคืน พระภิกษุชราก็โยนแผ่นมหาอักขระยันต์นั้นเข้ากองไฟ เปลวไฟกลับกลายเป็นสีน้ำเงิน พวกภูตผีปีศาจต่างๆก็ได้อันตรธานหายไป


พอใกล้ถึงเที่ยงคืนในวันที่สองที่จะต้องโยนแผ่นมหาอักขระเข้าไปในกองไฟ ก็ได้บังเกิดเป็นเหล่าอสูรเหล่ายักษ์ก็ต่างพากันมามากมาย ทั้งเข้ามาหว่านล้อมต่างๆนาๆ เฉกเช่นเดียวกันกับวันแรก ว่าทรัพย์สมบัติในเมืองอสูรเมืองยักษ์มีมากมายท่านอยากได้สิ่งใดเราจะให้จะเอาอะไรเท่าใดก็ได้ เพียงขอให้ท่านมอบแผ่นมหาอักขระเหล่านั้นแก่เราเถิด พระภิกษุชรานั้นก็มิได้กระทำตามที่บอก เหล่าอสูรและยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้ขู่จะทำร้ายต่างๆนาๆ แต่เนื่องด้วยอำนาจแห่งแผ่นมหาอักขระ ก็ไม่สามารถเข้าใกล้พระภิกษุชราได้เลยแม้แต่น้อย พอถึงเวลาเที่ยงคืนก็โยนแผ่นที่สองเข้าไป เปลวไฟกลับกลายเป็นสีแดง และพวกยักษ์พร้อมทั้งเหล่าอสูรเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป


พอใกล้ถึงเวลาของคืนที่สามก็มี เทวดา เทพยดาทั้งหลายทั้งปวงเข้ามาขอร้องพร้อมทั้งบอกว่าทรัพย์สมบัติในเมืองเทพเมืองเทวดานั้นมีมากมายท่านอยากได้สิ่งใดเราจะให้ขอให้มอบแผ่นอักขระที่เหลือนั้นมาให้ พระภิกษุชรานั้นก็ไม่อาจตกปากรับคำยังคงทำตามสิ่งที่รับปากต่อไป ก็ได้โยนแผ่นมาอักขระแผนที่สามนั้นเข้ากองไฟ เปลวไฟกลับกลายเป็นสีเงิน


ครั้นถึงวันที่สี่วันสุดท้ายก็รอจนใกล้ถึงเวลาเที่ยงคืนตามที่ได้นัดหมายใว้ แต่แปลกว่าคืนนี้ไม่มีสิ่งใดมารบกวนเลย พอถึงเวลาเที่ยงคืนก็เลยโยนแผ่นอักขระแผ่นที่สี่เข้าไป เปลวไฟกลับกลายเป็นสีทอง ทันใดนั้นนักสิทธิ์วิทยาธร คนนั้นก็เดินออกมาจากกองไฟ เนื้อตัวเรืองแสงส่องสว่างสุขสกาวรวมทั้งรูปโฉมงดงาม พร้อมทั้งถือแผ่นมหาอักขระทั้งสี่แผ่นนั้นออกมาด้วย และได้บอกว่าขอขอบคุณท่านมากที่ท่านได้ช่วยเหลือเราจนสำเร็จบรรลุความเป็นอมตะ และท้ายนี้ก่อนจะจากกัน เราขอมอบสิ่งแผ่นมหาอักขระล้ำค่าเหล่านี้เพื่อเป็นการตอบแทนท่าน แผ่นมหาอักขระนี้รวม สัพพะพระเวทย์ วิชาวิทยาทั้งปวง สัพพะความรู้ทั้งปวง อยู่ในนี้ ท่านจงเก็บรักษาไว้ให้ดีและจงศึกษาเอาเถิด เราบรรลุแล้วไม่จำเป็นแก่เราแล้ว และเราจะไปรอท่านอยู่ที่อุตรภพ


พระภิกษุชรารูปนั้นก็ได้รับแผ่นมาขณะนั้นก็ได้เดินทางกลับมายังวัด ด้วยอาการเจ็บป่วยอาพาธนั้นประทุขึ้น ทั้งอ่อนเพลียเพราะได้ต้องอดทนกับการทำงาน มี่ได้รับปากใว้ติดกันผ่านมาหลายคืน พอมาถึงวัดเจอลูกศิษย์ที่อุปัฏฐากรับใช้ ก็ไม่ได้พูดอะไรมากบอกให้ไปจะเตรียมที่หลับที่นอน เพื่อที่พระภิกษุชราจะได้พักผ่อนจากการเจ็บป่วย และก็ไม่นานท่านก็สิ้นใจมรณะภาพลง


ฝ่ายลูกศิษย์เห็นผู้เป็นอาจารย์สิ้นใจก็ได้ร้องห่มร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก ทางพระเจ้าอาวาสเห็นดังนั้นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ก็เลยได้จัดเตรียมงานศพต่างๆและก็มอบหมอนหนุนหัวของพระภิกษุชราให้แก่ลูกศิษย์คนนั้น ตามธรรมเนียมครูอาจารย์สมัยนั้น ส่วนลูกศิษย์ก็เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์คนนั้นก็ได้เอาแต่กราบหมอนแล้วร้องไห้ละลึกนึกถึงครูบาอาจารย์อยู่ทุกวัน


จวบจนมาวันนึงได้ฝันเห็นพระภิกษุชราผู้เป็นอาจารย์ได้บอกว่าสัพพะวิชาความรู้ล้ำค่าอยู่ในหมอนนั้นให้แกะดูเถอะ ลูกศิษย์จึงได้แกะดูพบแผ่นมหาอักขระทั้งสี่แผนดังในฝันจริงๆและก็ได้ศึกษาร่ำเรียนจากแผ่นมาอักขระนั้น ด้วยความที่ว่าตนเองมีเพื่อนรักที่เคยอยู่รับใช้พระอาจารย์ด้วยอีกคนหนึ่ง จึงได้ไปชักชวนเพื่อนรักของตัวเองเพื่อที่ร่ำเรียนด้วยกัน และการที่จะเรียนพร้อมกันนั้นมันจักไม่สะดวกดังนั้นจึงตกลงกันดังนี้


ลูกศิษย์พระภิกษุชรา จะเริ่มเรียนแผ่นที่1-2-3-4 ตามลำดับ ส่วนเพื่อนรักของลูกศิษย์ก็จะเริ่มเรียนแผ่นที่ 4-3-2-1 ย้อนขึ้นไป เรียกว่าคนหนึ่งเรียนเดินหน้า อีกคนหนึ่งเรียนถอยหลัง เวลาผ่านไปการเล่าเรียนสัพพะวิชาความรู้ทั้งหลายทั้งปวงเริ่มแตกฉานขึ้นมากมาย ทั้งสองคนนี้เป็นผู้เก่งกาจรอบรู้ยิ่งกว่าใครทั่วทิศทั้ง สัพพะวิชาทั้งหลายทั้งปวงจนมีชื่อเสียงเรื่องลือไปทั่วแผ่นดินในสมัยนั้น ด้วยฤทธิ์เดชวิทยาสัพพะวิชาทั้งหลายจึงทำให้ทั้งสองมีอายุยืนนาน และมีการประลองฝีมือกันอยู่เนืองๆ บางครั้งได้กลายร่างเป็นช้างและเสือสู้รบกันบนท้องฟ้าอากาศเกิดการสั่นสะเทือนกึกก้องกัมปนาทไปทั่วโลกธาตุ จนทำให้เจ้าแม่กวนอิมได้จำแลงแปลงกายมา ตีฉิ่งตีกะลา เพื่อเป็นการห้ามศึกในครั้งนั้น (จนในพม่าจึงได้มีการบูชาเจ้าแม่กวนอิมในรูปแบบของนัตตนหนึ่ง เพื่อละลึกถึงวีรกรรมในการห้ามภัยพิบัติครั้งนั้น


ความเก่งกาจของปรมาจารย์สองสหายนี้เรียกได้ว่าเก่งที่สุดไร้เทียมทานกว่าใครในแผ่นดิน แต่เพราะมีสอง มิใช่หนึ่ง จึงทำให้ทั้งสองคนนี้ แม้นจะชนะคนอื่นทั่วแผ่นดินได้สิ้น แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะซึ่งกันและกันได้ พร้อมทั้งสองก็เบื่อหน่ายในการที่มีอายุยืนนานทั้งยังไร้พ่ายด้วยกันทั้งคู่ จึงได้ตั้งที่พำนักอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำ และทำการตกลงกันว่าให้ทั้งสองฝ่ายต่างใช้พลังฤทธาที่ตนมีฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ได้ เพื่อเป็นการปลดปล่อยกันและกัน


พอถึงเวลาก็มาประลองเชิงยุทธกัน ด้วยสัพพะวิชาทั้งหลายต่างห้ำหั่นซึ่งกันและกัน หวังความสำเร็จว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสามารถสังหารตัวได้สำเร็จ นั่นคือสุดยอดแห่งความปรารถนา เพราะเหตุที่มีอธิฐานนุภาพมากพร้อมทั้งอยู่ด้วยอายุที่ยืนยาวมานาน แต่ก็เป็นเพราะว่าสัพพะวิชาอันวิเศษที่ทั้งสองแตกฉานนั้น จึงไม่มีสามารถมีผู้ใดกระทำการได้สำเร็จ จึงเรียกได้ว่าทุกสัพพะวิชาที่ทั้งคู่มีนั้นแม้จะเป็นคนละขั้ว เพราะคนหนึ่งเรียนเดินหน้าและอีกคนเรียนถอยหลัง จึงเป็นดังคู่ขนานขั้วบวกและขั้วลบ จึงได้กระทำการรวบรวมของวิเศษทั้งหลายทั้งปวง เพื่อมาสร้างสุดยอดยาอาถรรพ์วิเศษขึ้น


ต่างฝ่ายต่างสร้างสุดยอดยาเพื่อที่จะได้ใช้ฤทธิ์แห่งยาวิเศษ เพื่อจะได้มุ่งหมายเอาชีวิตซึ่งกันและกันได้สำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่สามารถมีใครเอากันลง ยาทั้งสองจึงไร้เทียมทานทั้งคู่ จนอยู่มาวันนึงพระภิกษุชราได้มาปรากฏกายขึ้นพร้อมทั้งห้ามการต่อสู้ของคนทั้งสองและได้ใช้เฉลยว่าตอนที่ พระภิกษุชราได้รับแผ่นมหาอักขรทั้งสี่นี้มา ก็ได้ศึกษาร่ำเรียนท่องจำสัพพะวิชาในแผ่นมหาอักขระทั้งสี่นั้นตลอดทางในการเดินทางกลับมายังวัดและท่องจำได้ทั้งหมด ประจวบกับด้วยการเจ็บป่วยที่มีมาแต่เดิมจึงทำให้สิ้นชีวิตไปก่อน แต่ด้วยอำนานแผ่นมหาอักขระทั้งสี่ประกอบกับดวงจิตที่ฝึกฝนมาทำพร้อมทั้งความรู้ต่างๆที่เราเรียนไปทำให้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว 47 วันและนักสิทธิ์วิทยาธรก็ได้มารับไปอยู่ยังหาอุตรภพ อันเป็นดินแดนที่อยู่ของผู้ที่เป็นอมตะแห่งผู้วิเศษทั้งหลายทั้งปวง ไม่นึกไม่ฝันว่าอาลูกศิษย์ทั้งสองนี้สามารถศึกษาวิชาได้สำเร็จและได้สร้างความเดือดร้อนมากมาย จึงได้มารับให้ไปอยู่ด้วยกันที่อุตรภพจึงให้ลูกศิษย์ทั้งสองนี้ทำการชำระคราบสังขารของตัวเองคือต้องตายจากกายนี้ก่อน คือการละทิ้งกายหยาบไป 47 วันแล้วรอวันฟื้นคืนชีพอีกครั้ง และจะให้เวลาเจ็ดวันในการรับลูกศิษย์และสั่งสอนสัพพะวิทยาต่างๆไว้แก่อนุชนรุ่นหลัง พร้อมทั้งให้เอาแผ่นมหาอักขระทั้งสี่แผ่นไปบรรจุไว้ใน พระธาตุเจดีย์เพื่อเป็นพุทธะบูชาต่อไป เพราะเกรงว่าหากมีบุคคลอื่นได้ไป ได้รู้ได้ร่ำเรียนไปก็จะเกิดความเดือดร้อน โกลาหลเกิดขึ้นแก่ยังโลกมนุษย์ภายภาคหน้า


ลูกศิษย์ทั้งสองก็ตกปากรับคำ ยุติศึกในการต่อสู้ จึงได้รับผู้สืบทอดมามากมาย แล้วก็สอนสัพพะวิชาต่างๆให้แต่ละคนต่างคนต่างวิชากันไปเพราะว่าสัพพะวิชาความรู้ต่างๆนั้นมีมาก ทั้งในระยะเวลาแค่เจ็ดวัน จึงไม่สามารถบอกกล่าวสั่งสอนคนใดคนหนึ่งให้สามารถรู้ทั้งหมดได้ จึงได้บอกในแต่ละศาสตร์แต่ละแขนงแต่ละภาคแต่ละส่วนในแต่ละคนเป็นคนๆไป ณ จุดนี้เองจึงเป็นต้นกำเนิดของ ลัทธิต่างๆนิกายต่างๆ พรรคต่างๆ แก๊งค์ต่างๆ มากมายในพม่า และแต่ละแก๊งค์แต่ละสำนักแต่ละลัทธิ แต่ละนิกายต่างคนก็ต่างสืบทอดสืบสาน เจตนารมณ์ของบูรพาอาจารย์ว่าจะ มุ่งมั่นฝึกฝนอย่างยิ่งยวดและสืบสาน เจตนารมย์ ที่จะสามารถปลิดชีพทายาทฝ่ายตรงข้ามได้


ตรงจุดนี้แหละที่เป็นมูลเหตุที่ทำให้เห็นว่า แต่ละพรรคแต่ละนิกายแต่ละแก๊งค์ในพม่านั้นมีการประหัตประหารมุ่งเอาชีวิตกันอยู่ตลอด เพราะมันมีเหตุผลกลนัย มาแต่เดิมว่า ลูกศิษย์ฝ่ายไหนลูกศิษย์ของใครสามารถจะสืบสานเจตนารมณ์ของครูบาอาจารย์ คือการได้เอาชีวิตฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ แต่สิ่งวิเศษสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจลืมเลือน คือสุดยอดของยาวิเศษที่ทั้งสองปรมาจารย์ได้สร้างขึ้นนั้น ยังเป็นที่ถวิลหายังเป็นที่แสวงหาของหนักไสยเวทในพม่าจวบจนทุกวันนี้


บางคนบอกว่ารู้จัก ทั้งที่ไม่เคยรู้จักเพราะกลัวเสียหน้า บางคนบอกว่าเคยเห็นทั้งที่ไม่เคยเห็น เพราะไม่รู้ไม่ได้ บางคนบอกว่าเคยได้ยินทั้งที่ไม่เคยได้ยิน เพราะเป็นสิ่งที่แสดงความอวดภูมิรู้ เพื่อจะได้เกทับคนอื่น ด้วยเหตุนี้ไสยเวทพม่าจึงเป็นดินแดนที่ต้องแข่งขันพัฒนาฝึกฝนอดทนอยู่ตลอดเวลาจวบจนทุกวันนี้ แต่ยาวิเศษตัวจริงของจริงเป็นเช่นใดยังหาผู้รู้แจ้งแถลงไขได้ยาก เพราะว่ายาสุดยอดวิเศษนั้นเหนือกว่ายาทั้งปวงเหนือกว่าของวิเศษทั้งปวง



62 views36 comments
bottom of page