top of page

Ajarn Kumsuay Saipong


ประวัติและวัตถุมงคลอาจารย์คำสวย ไทรป้อง “พญาสีหราชแห่งด่านเจริญชัย” อาจารย์ของพระอาจารย์โอ พุทโธรักษา


“พญาสีหราช แห่งด่านเจริญชัย” (ตอนที่1)

หากจะกล่าวถึงอาจารย์คำสวย ไทรป้อง บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของพระอาจารย์โอ ต่างรู้จักเป็นอย่างดี ท่านอาจารย์โอมักจะเรียกว่า “พญาสีหราชแห่งด่านเจริญชัย” ผู้ทรงภูมิทรงเวทย์เปรียบดั่งอาจารย์ปู่ก็ว่าได้ ท้าวความไปเมื่อครั้งที่พระอาจารย์โอ ท่านจารีกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ตามเทือกเขาเพื่อเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ และเสาะแสวงหาจิตวิเวก พระอาจารย์โอได้ไปพบเจอกับบุคคลแปลกประหลาดผู้หนึ่ง แต่งตัวคล้ายพระ อาศัยอยู่ในถ้ำแถบอำเภอวิเชียรบุรี คือนุ่งห่มสบงเหมือนพระ แต่ท่อนบนไม่สวมอะไร ชาวบ้านเรียกว่า ผู้วิเศษแห่งถ้ำทอง พระอาจารย์โอก็ได้ไปสอบถามเรื่องราวประวัติต่างๆ ทราบว่าท่านอาศัยอยู่ในถ้ำมากกว่า 25 ปี จนทำให้ตาท่านบอดสนิท ท่านจะไม่ออกไปพบแสงสว่างด้านนอก แต่หากอยู่ในถ้ำแล้วท่านสามารถมองเห็นได้ทุกสิ่ง เดินเหินได้ในที่มืด พระอาจารย์ปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่ถ้ำนี้เป็นเวลาสามพรรษา จนวันหนึ่งหลวงปู่ถ้ำมาบอกว่า “อยู่มานานพอสมควรแล้ว ถึงเวลาต้องออกไปเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม เพราะตลอดเวลา 25 ปี ท่านไม่เคยมีใครเป็นลูกศิษย์ มีเพียงพระอาจารย์โอเพียงคนเดียว และก็ถึงบั้นปลายของท่านแล้วพร้อมทั้งชี้ทิพย์บอกว่า “ให้เดินไปทางทิศนี้แล้วจะเจอ 1 พระ 1 ฆาราวาส ผู้เรืองเวทย์ให้เรียนวิชากับพระก่อนแล้วค่อยไปต่อวิชากับ ฆาราวาส จะรู้เมื่อถึงเวลานั้นเอง”

พระอาจารย์โอจึงได้กราบลาหลวงปู่ถ้ำ เดินรุกขมูลมาเรื่อยๆประมาณ 4 วันจนเจอถนน เลยคิดในใจว่าถ้าเดินตามถนนนี้ไปน่าจะเจอหมู่บ้าน ในขณะที่เดินตามทางถนนก็ไปเจอชายชราผู้หนึ่ง เดินจูงจักรยานตามถนนมา ชายชราผู้นั้นทักพระอาจารย์ว่า “เป็นพระ ทำไมเดินออกมาจากป่า เดินมาได้อย่างไร แล้วจะไปไหน” พระอาจารย์โอ จึงกล่าวตอบไปว่า “มาหาคนมีวิชา รู้ไหมว่าอยู่ไหน” ชายชราจึงตอบว่า “นู้น! หลวงตาเทือง อยู่ที่วัด ให้เดินไปเรื่อยๆ” และพระอาจารย์ก็เดินมาตามทางที่ชายชรานั้นบอก เดินต่อไปอีกประมาณ 2-3 กิโล จึงเห็นหมู่บ้านและวัด พระอาจารย์จึงเข้าไปกราบหลวงพ่อประเทืองและขออนุญาตหลวงพ่อประเทือง ขอพักที่วัด จะพักตรงบริเวณศาลาสวดศพท้ายวัด (ในสมัยนั้นหลวงพ่อประเทืองมีชื่อเสียงมาก มีผู้คนเดินทางไปมาหาสู่ทุกวัน ทั้งที่วัดอยู่ห่างไกล ถ้าคนจากต่างถิ่นหากไม่มีรถส่วนตัว ก็ต้องเหมารถจากตลาดลำนารายณ์ไป-กลับในราคา 800 บาท ถือว่าแพงมากในสมัยนั้น)

หลังจากที่พระอาจารย์โอได้พัก พอหายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการจาริกธุดงค์ ซักจีวรเสร็จแล้ว จึงเข้าไปกราบหลวงพ่อประเทืองเพื่อขอเป็นลูกศิษย์ แล้วหลวงพ่อประเทืองก็ บอกกล่าวข้อปฏิบัติต่างๆพร้อมรับเป็นลูกศิษย์ กิจวัตรประจำวันของพระอาจารย์โอคือ จะต้องมาอยู่กับหลวงพ่อประเทืองในช่วงเวลากลางคืนทุกวัน เพราะในช่วงเวลากลางวันจะไม่เข้ามา ด้วยเหตุผลที่ว่า พระอาจารย์มองเห็นคนที่ไปมาหาหลวงพ่อตลอดทั้งวัน ล้วนมีเรื่องราวต่างๆมากมาย จึงยังไม่ชินในขณะนั้น เหตุเพราะว่า พระอาจารย์โอเคยชินกับการอยู่ป่ามานาน รู้สึกยังปรับตัวไม่ได้กับการที่ได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา พระอาจารย์โอจึงจะมาอยู่รับใช้หลวงพ่อประเทืองตั้งแต่เวลา 18.00 น. เนื่องด้วยวัดอยู่ในเขตทุรกันดารสำหรับชาวป่าจะถือว่าค่ำแล้ว รวมทั้งแขกก็จะกลับกันไปหมดแล้ว ก่อนเวลา 16.00น. พระอาจารย์จึงอยู่ดูแลรับใช้หลวงพ่อ 18.00 น.ถึง 6.00 น.ในเช้ารุ่งขึ้น และออกบิณฑบาตกลับมาฉันภัตตาหารแล้ว จึงกลับเข้าที่พัก เป็นประจำเช่นนี้จึงเป็นโอกาสดีตรงที่ได้อยู่กับหลวงพ่อได้ยาวนาน หลวงพ่อประเทืองจะบอกกล่าวสอนกรรมฐาน รวมทั้งพระเวทย์ต่างๆ และในบางคืนก็จะหันหัวชนกันคุยเรื่องราวต่างๆจนดึกดื่น สมัยนั้นหลวงพ่อประเทืองดังเรื่องตะกรุดมาก ทุกวันจะมีคนมาเช่าบูชาตะกรุดกันมาไม่ขาดสาย ผู้คนมากหน้าหลายตาพากันหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศ นำความเจริญมาสู่แก่หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ 20 หลังคาเรือน แต่มีร้านค้าถึง 3 ร้าน ถนนลาดยาวถึงวัด สำหรับบ้านป่าแล้วถือว่าเป็นความเจริญอย่างยิ่ง เหตุที่ได้อยู่กับหลวงพ่อประเทืองในทุกๆคืน พระอาจารย์โอได้ช่วยอุปัฏฐาก ในขณะที่ท่านได้ปลุกวัตถุมงคลจำพวกตะกรุดต่างๆ เช่น ตะกรุดทองคำฝังแขน พระเครื่องต่างๆ สีผึ้ง น้ำมันพราย กุมาร ปลัดขิก พร้อมทั้งหลวงพ่อก็บอกสอนวิชาต่างๆ ให้จนหมดสิ้นเป็นเวลาหนึ่งปี พอถึงงานไหว้ครูหลวงพ่อประเทืองจึงครอบให้เป็นกรณีพิเศษพร้อมทั้งบอกว่า “บอกหมดแล้วสอนหมดแล้ว ไม่มีขี้จะสอนแล้ว” และหลังจากวันที่ครอบครูให้แล้วหลวงพ่อก็ให้พระอาจารย์เป็นผู้ลงตะกรุดต่างๆ แทนหลวงพ่อ แต่กำชับว่าอย่าให้ใครรู้ว่าหลวงพ่อสอนวิชาในตะกรุดทั้งหมดให้ เพราะในขณะนั้นในวัดมีผู้มาเรียนวิชาหลายคน หลวงพ่อก็บอกสอนแต่ละคนเป็นอย่างๆไป ไม่สินทั่งหมด ช่วงนั้นพระอาจารย์รู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินกับการเรียนวิชาหลายศาสตร์หลายแขนง จนเขียนตะกรุดต่างๆให้หลวงพ่อใส่ลังไม้ไว้ แต่ทั้งหมดต้องให้หลวงพ่อประเทืองเป็นผู้ปลุกเสก เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระหลวงพ่อ จำนวนลังตะกรุดมีมากถึง 11 ลัง จนหลวงพ่อกล่าวยกย่องชมว่าหนึ่งลังสร้างโบสถ์ได้หนึ่งหลัง โรงงานรีดตะกรุดถึงขั้นเอารถขนแผ่นเขียนตะกรุดมาส่งถึงที่วัดทีละคันรถทุกๆเดือน

จนเข้าปีที่ 2 หลวงพ่อประเทืองเปรยกับตัวเองว่า ถึงเวลาที่หลวงพ่อจะหมดอายุขัย พร้อมทั้งปรึกษากับพระรูปหนึ่งชื่อว่า หลวงตาสมนึก ซึ่งเป็นสหายสนิทของหลวงพ่อที่มาจำพรรษาอยู่เรื่อยๆ จึงได้ทำการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา มีการจัดเตรียมเครื่องพิธีต่างๆ อย่างละเอียด และในขณะนั้นพระอาจารย์ก็ได้เรียนรู้พิธีกรรมด้วย พอเสร็จพิธีหลวงพ่อก็พูดว่า “อายุขัยท่านหมดจริงๆ คงต่อได้แค่ปีเดียว” แล้วท่านก็กำชับบอกท่านพระอาจารย์ว่า หากว่าท่านล้มป่วยให้ไปหาท้าวเวสสุวรรณที่อยู่บนเขา คนนั้นคืออาจารย์ของหลวงพ่อ พร้อมทั้งกำชับหลวงตาสมนึกซึ่งเป็นสหายช่วยเป็นธุระแนะนำฝากตัวกับท้าวเวสสุวรรณ หลวงตาสมนึกก็รับปาก พระอาจารย์เลยสงสัยนิดๆว่า หลวงพ่อเก่งกาจขนาดนี้ยังมีคนที่เก่งกว่าหลวงพ่ออีกหรือ แล้วหลวงตาสมนึกก็เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังว่า บุคคลที่หลวงพ่อเรียกว่า “ท้าวเวสสุวรรณ” คืออาจารย์ของหลวงพ่อ เป็นเจ้าภาพบวชให้หลวงพ่อถึงสองครั้ง เป็นผู้มาอยู่อาศัยเป็นคนแรก และเป็นคนบุกเบิกป่าดงในแถบนี้ พาชาวบ้านสร้างโรงเรียน สร้างวัด ในใจของพระอาจารย์ในขณะนั้นมีความตื่นเต้นมาก อยากจะพบเจอท้าวเวสสุวรรณจึงรบเร้าให้หลวงตาสมนึกพาไปหาตอนนี้เลยได้ไหม แต่หลวงตาสมนึกทำสีหน้ากังวลพร้อมทั้งบอกว่า “เดี๋ยวขอไปหยั่งเชิงดูก่อนว่า พญาสีหราช จะอารมณ์ดีไหม” พระอาจารย์ได้ฟังดังนั้นจึงยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ว่าทำไมหลวงพ่อประเทืองและหลวงตาสมนึกถึงได้เกรงบุคคลท่านนี้มาก

ระยะเวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ หลวงตาสมนึกกลับมาแจ้งว่า “ไปทุกวัน โดนด่าทุกวัน ไป 7 วัน โดนด่า 7 วัน แต่ก็บอกให้แล้ว (พร้อมทั้งชี้ไปที่บนเขา) แล้วว่า ตรงนู้น!! แสงตะเกียงริบรี่ๆนั่น” วันต่อมาพระอาจารย์เลยถือวิสาสะเดินไปตามคำบอกของหลวงตาสมนึก พอไปถึงจุดหมายก็เจอชายชราคนหนึ่ง นึกจำได้ว่าเป็นชายชราคนที่เดินจูงจักรยานสวนทางตอนออกจากป่าคนนั้นเอง พอชายชราเห็นพระอาจารย์ ก็ทักขึ้นมาทันทีว่า “เป็นยังไง เจอคนมีวิชาละยัง และได้เรียนไหม” พระอาจารย์เลยตอบว่า “เจอแล้ว และก็เรียนแล้ว 2 ปี จนหลวงพ่อประเทืองบอกว่าไม่มีขี้จะสอน แล้ว แนะให้มาเรียนต่อกับท้าวเวสฯ” ในขณะนั้นสีหน้าชายชราก็เปลี่ยนไป ออกอาการฉุนเฉียวขึ้นมาทันทีพร้อมพูดว่า “ผมไม่ให้ ผมไม่สอน ที่ผมให้หลวงตาเทืองไป ก็เพราะสงสาร เห็นว่าจะสร้างวัดถึงให้ไป” พร้อมทั้งไล่ให้กลับไปซะ พระอาจารย์โอเห็นอากัปกิริยาขมึงขึงขังดุดันเลยตกใจ รู้สึกเสียหน้า (หน้าแตกเดินกลับมา) แล้วก็ได้รู้คำตอบทันทีว่าทำไมหลวงพ่อประเทือง และหลวงตาสมนึกถึงเกรงกลัวยิ่งนัก ต้องคิดหนัก คิดหน้าคิดหลังทุกครั้งที่จะมาหาฆาราวาสผู้นี้

หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็เดินไปหาฆาราวาสผู้นี้อีกทุกวัน ก็โดนว่าโดนไล่ให้กลับมาทุกวัน ทำอยู่เช่นนั้นเป็นระยะเวลาราว 3 เดือน จนต้นหญ้าตามเส้นทางที่พระอาจารย์เดินผ่านทุกวันนั้น โดนเหยียบตายเป็นแนวทางเดินยาวประมาณสองกิโลเมตรได้ พระอาจารย์รู้สึกท้อแท้ในจิตใจ จนคิดจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปขอเรียนวิชา ปรึกษากับหลวงตาสมนึกทุกวัน จนหลวงตาสมนึกเห็นใจ ช่วยไปอ้อนวอนอีกแรงทุกวัน ถึงขั้นบอกว่า “ถ้าไม่สอนวิชาให้พระอาจารย์โอ หลวงตาสมนึกจะสึกแล้วกลับไปอยู่ที่นครสวรรค์” จนเวลาผ่านไปราวหนึ่งเดือน หลวงตาสมนึกจึงได้ลาสึกไปจริง และพระอาจารย์โอก็ไม่ได้ไปหาชายชราผู้นั้นอีกเลย

จนมาวันหนึ่งมีคนปั่นจักรยานมาหยุดที่ศาลาสวดศพ ที่พระอาจารย์ใช้จำวัตรอยู่ พอพระอาจารย์ได้เห็นก็รู้ในทันทีว่านี่คือ “พญาสีหราชแห่งด่านเจริญชัย” ชายชราผู้นั้นพูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้เช้า ฉันเช้าแล้วให้รีบขึ้นไปหา ขันครูต่างๆ จะให้ภรรยาของท่านเตรียมไว้ให้ จะให้เรียนถึงเที่ยงได้แค่ไหนแค่นั้น” แล้วชรานั้นก็จากไป พระอาจารย์โอได้ฟังดังนั้นรู้สึกงุนงง ได้แต่รับคำ แล้วนำไปกราบเรียนให้หลวงพ่อประเทืองทราบ หลวงพ่อจึงบอกว่า “ดีแล้ว ดีที่สุดแล้ว” สมัยที่ท่านไปจอเรียน ท่านได้เรียนเอาชั่วโมงเดียว ตั้งแต่ 8 โมง ถึง 9 โมง เขียนหนังสือก็ไม่ค่อยเก่ง เลยได้มาเพียงแค่เศษเสี้ยวเอง พร้อมทั้งกำชับพระอาจารย์ว่าให้เรียนเอา เอาให้ได้มากที่สุด พระอาจารย์ได้ยินดังนั้น ดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน พอตอนตี 5 หลวงพ่อประเทืองก็ให้สามเณรชงข้าวโอ๊ตให้ โดยไม่ต้องบิฑบาต “ให้ฉันข้าวโอ๊ตก็รีบไปเรียนเลย ถ้าหิวก็ให้อดทนเอาไม่ถึงตายหรอก” พระอาจารย์ก็ได้รับคำ แล้วพระอาจารย์ก็รีบเดินทางไปทันทีโดยมีลูกชายของชายชรามารอรับที่หน้าวัดแต่กลับกลายเป็นว่าเดินทางไปบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับวัด ซึ่งอยู่กันคนละที่กับที่เดินไปหาในตอนแรก เพิ่งจะรู้ว่าบ้านชายชราผู้นั้นอยู่ตรงข้ามวัดพอดี

พอไปถึงชายชราผู้นั้นก็กราบขอโทษพระอาจารย์ก่อนเป็นประการแรก พร้อมทั้งบอกว่าขออนุญาตบาปกรรมขอขมาลาโทษ ตลอดระยะเวลา 3 - 4 เดือนที่ผ่านมา ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะครูของท่านสั่งมาว่า หากคนใดสามารถทนการดุด่า ทนการบอกกล่าว ทนการดูถูกได้ ถึงจะคู่ควรที่จะให้ร่ำเรียน เป็นคนมั่นคงและไม่พูดพร่ำทำความให้มากมาย ชายชราผู้นั้นได้ส่งมอบสมุดให้จดเดี๋ยวนั้นเลย เริ่มตั้งแต่บทไหว้ครู บทโองการต่างๆ คาถา สรรพวิชาต่างๆ พร้อมทั้งบอกชื่อครูบาอาจารย์ดั้งเดิม บอกขั้นตอกการเรียน บอกขันครูแต่ละวิชา ต้องยอมรับว่า “มากมายมหาศาลจริงๆ ไม่รู้ว่าจำหมดได้อย่างไร เรียนมาอย่างไร ถึงแม่นยำ ชัดเจนเป๊ะได้ขนาดนี้” แต่ด้วยความที่พระอาจารย์เป็นคนแตกฉานว่องไวในการอ่านเขียน จึงสามารถจดแต่ละหมวดพร้อมทั้งทวนแต่ละวิชาแต่ละคาถา ลงในสมุดได้ถึง 5 เล่ม ภรรยาของชายชราเดินไปซื้อสมุทจดให้ หลายเที่ยว พอถึงเวลาเที่ยง ชายชราคนนั้นจึงบอกชื่อ “อาจารย์คำสวย ไทรป้อง” พร้อมทั้งครอบวิชาให้ในเวลา 12.09 น.

หลังจากนั้นพระอาจารย์เดินทางกลับมาที่วัด พร้อมทั้งอาการมึนในสรรพวิชาต่างๆ มากมาย รู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย พอได้มารายงานผลกับหลวงพ่อประเทือง ท่านจึงถามว่า “ได้เรียนอะไรมาบ้าง” พระอาจารย์จึงตอบกลับไปว่า “เยอะแยะมากมายมหาศาล จดมา 5 เล่ม” หลวงพ่อประเทืองจึงร้องอุทานเสียงดังว่า “ป๊าดโถ๊ะ! ได้เยอะกว่ากูอีก เรียนกับกูจนหมดไส้ ไปเรียนกับครูใหญ่ก็ได้มากขนาดนี้” เมื่อหลวงพ่อประเทืองพูดจบ จึงเรียกให้พระอาจารย์เข้ามาในห้อง เพราะในขณะนั้นมีคนอยู่ด้วยหลายคน พอเข้ามาในห้องแล้วหลวงพ่อพูดก็ขึ้นว่า “ให้เก็บข้าวของออกไปจากวัดเดี๋ยวนี้ เพราะเรื่องแบบนี้ ไม่เคยมี เรื่องแบบนี้ไม่เคยเป็น ถ้าเกิดคนอื่นเขารู้ เข้า เขาจะเกลียดเอ็ง ไว้ถ้าหลวงพ่อคิดถึง ค่อยมาหาเป็นครั้งคราวไป เพราะไม่มีใครได้มากเท่าเอ็ง ไม่เคยมีใครได้ขนาดนี้” หลวงพ่อพูดไปก็ร้องไห้ไปด้วย พร้อมกับบ่นพึมพัมน้ำตาคลอว่า “ไอ้สมนึกก็สึก ไอ้โอก็จำต้องหนี สงสัยกูต้องตายอยู่ตัวคนเดียว คนที่รักกูไม่ได้อยู่” หลวงพ่อสะอื้นอยู่พักใหญ่ พอหยุดสะอื้นเช็ดน้ำตา ก็เอื้อมมือไปลูบหัวพระอาจารย์ พร้อมพูดว่า “ให้ไปเก็บของ พร้อมให้สัญญาข้อหนึ่งว่า ถ้าหากหลวงพ่อเรียกให้มาเมื่อไหร่ เอ็งต้องรีบมาทันทีนะ”

69 views8 comments
bottom of page